ในยุคสมัยปัจจุบัน หลังการผงาดของทีม Golden State Warriors ทีมที่เปลี่ยนแปลงการเล่นของ ทุกทีมใน NBA ในยุคปัจจุบัน
    การยิง 3 คะแนนสามารถทำให้ทีมคว้าแชมป์ได้ยุคที่ผู้เล่นทุกตำแหน่งต้องยิง 3 คะแนนได้ ไม่เว้นแม่กระทั่งตำแหน่ง เซ็นเตอร์

    แต่หากย้อนไปในยุค 90s หากพูดถึงเรื่องการยิง 3 คะแนน ใครๆก็ต้องนึกถึงชายที่ชื่อ Reggie Miller แห่งทีม Indiana Pacers
    ชายผู้ยิง 3 คะแนนลงไปถึง 2,560 ลูกใน NBA

    และ 1 เหตุการณ์ที่เรจจี้ได้ทำแสบไว้กับชาวเมือง New York สมกับฉายาว่า Knick Killer ก็คือเหตุการณ์ 8 แต้ม ใน 8.9 วินาที

    ย้อนกลับไปในปี 1995 ณ สนาม Madison Square Garden ในรอบรองชนะเลิศของการชิงแชมป์สายตะวันออก
    เกมที่ 1 ทีมนิคส์ภายใต้การคุมทีมของโค้ช Pat Riley และยอดเซ็นเตอร์แห่งยุคอย่าง Patrick Ewing ต้องต้อนรับการมาเยือนเรจจี้และผองเพื่อน

    เกมผ่านไปอย่างสนุกและสูสี แต่แล้วจนกระทั่งเหลือเวลาในสนาม 18.7 วินาที เป็นฝ่ายนิคส์ที่นำอยู่ 105 ต่อ 99
    อย่างที่เรารู้ๆกันดีว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ใน NBA แต่ในสายตาชาว New York วันนั้นมันเป็นสิ่งที่พวกเขาคงไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกเลย

    เพเซอร์ได้บุก จากการเปิดจากข้างสนาม Mark Jackson เปิดเข้าในมาให้ เรจจี้ ที่บริเวณเส้นสามแต้มฝั่งซ้าย
    และเป็นเรจจี้จัดการกระโดดยิงในทันที และเรียบร้อยลงไป เป็น 3 คะแนนให้เพเซอร์ไล่มาเป็น 102 ต่อ 105 และเหลือเวลา 16.4 วินาที

    นิคส์ได้เปิดเกมบุกแต่เจอผู้เล่นเพเซอร์ทำการ Full Court Press และเป็น Anthony Mason ผู้เล่นของนิคส์ เปิดบอลพลาด
    เป็นเรจจี้ขโมยมาได้บริเวณเส้นโทษ เจ้าตัวไม่รอช้า เลี้ยงออกมายังเส้นสามแต้มและกลับตัวยิง เปรี้ยง เรียบร้อย 3 คะแนน
    ตีเสมอให้แก่เพเซอร์ เวลาเหลือ 13.2 วินาที

    นิคส์ได้เปิดบอลเข้ามาอีกรอบและกลายเป็นเพเซอร์ที่เสียฟาล์วในจังหวะนั้น ทำให้นิคส์มีโอกาสขึ้นนำอีกครั้ง แต่เป็น John Starks
    ที่ยิงจุดโทษไม่ลงทั้ง 2 ลูก

    และจากจังหวะพลาดลูกที่สอง นิคส์สามารถแย่งรีบาวน์ได้แต่เป็น Patrick Ewing ที่ปล่อยบอลระยะสั้นพลาด และเป็นเรจจี้
    ที่แย่งรีบาวน์กลับมาได้ และถูกตีฟาล์วไปในที่สุด ทำให้เรจจี้ได้กลับมายิงจุดโทษเพื่อออกนำทันที และแน่นอน ทั้ง 2 ลูกไม่พลาด
    เหลือเวลา 7.5 วินาที

    นิคส์ทำเกมบุกขึ้นมาครั้งสุดท้ายแต่ก็ไม่สำเร็จ จบเกมท่ามกลางแฟนๆ 19,763 คน Indiana Pacers พลิกกลับมาชนะแบบปาฏิหาริย์
    ขึ้นนำเกมที่ 1 และในท้ายที่สุดก็สามารถชนะผ่านเข้าไปชิงแชมป์สายได้ในเกมที่ 7

    เงินทองไม่เข้าใครออกใคร

    การเป็นนักกีฬา NBA ในยุคสมัยนี้เราเห็นแล้วว่าทำเงินได้มากขนาดไหน ผู้เล่นอย่าง Ben Simmons
    ได้ค่าเหนื่อยสูงถึงปีละ 35 ล้านแม้จะไม่ได้ลงเล่นก็ตามแต่เมื่อย้อนกลับไปในยุค 90s จะมีผู้เล่นอยู่ 1 คน
    ที่เรียกได้ว่ารับค่าเหนื่อยน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมทีมและคู่หูของเขา Michael Jordan
    ใช่แล้วครับเรากำลังพูดถึง Scottie Pippen

    เชื่อว่าแฟนบาสทั่วโลกคงไม่มีใครไม่รู้จัก Scottie Pippen ชายผู้ยืนหยัดเคียงข้างตำนานตลอดกาลอย่าง Michael Jordan
    เรารุ้กันดีว่าพิพนั้นสำคัญกับทีมขนาดไหน โดดเด่นทั้งเกมรุก และเกมรับ แต่ใครจะรู้บ้างว่าชายที่ลงเล่นให้ Chicago Bulls
    ไปถึง 856 เกม และทำแต้มให้ทีมไปมากกว่า 15,000 แต้ม จะได้รับค่าเหนื่อยในสัญญาเพียง 2.5 ล้านเหรียญต่อปี

    ถ้ามองแค่ปี 1997 ใครจะเชื่อว่า ชายที่เป็นเจ้าของสถิติ Assist และ Steal มากที่สุดของทีมแชมป์ จะได้ค่าเหนื่อยเพียงลำดับที่ 122 ของผู้เล่นทั้งลีค
    ที่พูดมาทั้งหมดเหมือนจะไม่ยุติธรรมหากเรามองในมุมมองของผู้เล่น แต่หากย้อนกลับไปมองถึงวันที่เซ็นสัญญา
    สัญญา 7 ปี มูลค่า 18 ล้านเหรียญ มองในมุมตัวเลขอาจจะน้อย แต่เมื่อเทียบกับคนทั่วไปมันก็ยังเยอะอยู่ดี
    และตัวพิพเองก็มีครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งตรงจุดนี้พิพก็คงมองว่ามันก็มั่นคงดีสำหรับตัวเขาและครอบครัวเลยตกลงเซ็นไปตอนนั้น

    ในมุมของทีมสัญญานี้มีความเสี่ยงยังไง สมมติว่าพิพ เกิดบาดเจ็บเล่นไม่ได้ ทีมก็ยังคงต้องจ่ายเงินต่อไปจนครบสัญญา
    แม้จะไม่ได้ใช้งานเลย ดังเช่นกรณีที่เกิดขึ้นกับ Ben Simmons ในตอนนี้

    แต่สุดท้ายแล้วหลังจากที่พิพย้ายไปสู่ Houston Rockets และ Portland Trail Blazers เวลาผ่านไป 5 ปี พิพในวัย 38 ปี
    ก็ได้กลับมาสู่ Bulls อีกครั้ง ในคราวนี้ทีมเลือกที่จะยื่นข้อเสนอ 2 ปี 10 ล้านเหรียญให้แก่เขา ซึ่งถือว่าเป็นการตอบแทน
    กับทุกสิ่งที่พิพเคยทำไว้ให้ชาวเมืองชิคาโก้แห่งนี้

    Scottie Pippen เล่นใน NBA ไปทั้งหมด 18 ฤดูกาล ทำรายได้จากค่าเหนื่อยไปทั้งหมด 109.9 ล้านเหรียญ
    ก็ถือว่าไม่เลวเลยสำหรับนักกีฬาอาชีพ

    ชื่อเสียง เงินตรา ความคาดหวัง สิ่งเหล่านี้มักจะตามมาเมื่อคุณถูกดราฟท์เป็นอันดับหนึ่ง

    เรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่ผู้เล่นหน้าใหม่ต้องแบกรับ หลายๆคนฟอร์มดีตั้งแต่ปีแรก เป็นไปตามเป้า ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นอย่าง
    Kyrie Irving, Derrick Rose หรือแม้กระทั้ง LeBron James

    แต่ไม่ใช่ว่าดราฟท์อันดับหนึ่งทุกคนจะประสบความสำเร็จเสมอไป 1 ในนั้นคือ Anthony Bennett
    ในปี 2013 เด็กหนุ่มจากโตรอนโต้ ถูกทีม Cleveland Cavaliers ดราฟท์เข้ามาเป็นอันดับหนึ่งแบบค้านสายตา

    Anthony Bennett celebrates a dunk against Northern Arizona

    ถึงผลงานในระดับมหาลัยของเจ้าตัวจะอยู่ที่ระดับ 16 แต้ม 8 รีบาวน์ ต่อเกม
    ถือว่าไม่เลวเลย แต่ก็ยังไม่เหมาะกับดราฟท์อันดับหนึ่งอยู่ดี

    มาดูกันที่ผลงานส่วนตัวกับ Cleveland วันที่ 28 มกราคม 2014 Bennett ทำได้ 15 แต้มในเกมเจอกับ นิวออร์ลีนส์
    นับว่าเป็นการทำแต้มขึ้น 2 หลักครั้งแรกของเจ้าตัวใน NBA หลังจากผ่านไป 33 เกมส์

    ผ่านไปเพียงปีเดียว Bennett ถูกทีมเทรดไปยัง Minnesota Timberwolves จบผลงานกับ Cleveland
    ที่ 5.2 แต้ม และ 3.8 รีบาวน์ และเพียงปีเดียวกับทีมวูฟ  Bennett ถูกยกเลิกสัญญาโดยการ Contact Buyout

    หลังจากนั้น Bennett ได้ไปเล่นให้กับ Toronto Raptors ทีมบ้านเกิด และปิดท้ายใน NBA กับทีม Brooklyn Nets

    Nets forward Anthony Bennett reacts

    รวมแล้วเจ้าของดราฟท์อันดับหนึ่งจากโตรอนโต้ เล่นใน NBA ไปเพียง 4 ฤดูกาลเท่านั้น
    ด้วยสถิติรวม 151 เกมส์ แต้มเฉลี่ย 4.4 แต้ม

    และในปัจจุบัน Bennett เล่นอยู่กับทีม Kaohsiung Steelers ทีมบาสอาชีพในลีคไต้หวัน
    ใครจะไปคิดว่าดราฟท์อันดับหนึ่งจะมาลงเอยแบบนี้

    ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจจะมีคนแย้งว่าดราฟท์ปีนั้นมันมีแต่ผู้เล่นห่วยๆ เรียกได้ว่าเป็นดราฟท์คลาสที่แย่ที่สุดในรอบหลายปีเลยนะ
    แต่เมื่อมองไปดีๆก็มีทั้ง Giannis Antetokounmpo ผู้เล่นระดับ MVP หรือ Rudy Gobert
    เจ้าของรางวัล Defensive Player of the Year 3 สมัยรวมอยู่ด้วย แต่อย่างว่าแหละ อนาคตมันคาดเดาไม่ได้
    มีถูกก็ต้องมีผิด มีดีก็ต้องมีร้าย หากย้อนไปได้วันนั้น Cleveland Cavaliers ก็คงไม่เลือก Anthony Bennett เป็นแน่แท้